วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Tablet


Tablet
 Tablet คือ คอมพิวเตอร์พกพา หรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางที่มีหน้าจอแบบ สัมผัสในการใช้งานเป็นหลัก หลักๆแล้วก็มี 2 ความหมายด้วยกันคือ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet Personal Computer)" และ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet"

"แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet computer" และ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ต่างกันอย่างไร
     "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" จะ ใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU   เป็นพื้นฐานและมีการปรับแต่งนำเอาระบบปฏิบัติการ หรือ OS ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ PC Computer หรือ PC มาทำให้สามารถใช้การสัมผัสในการทำงานได้
     "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆว่า แท็บเล็ต - Tablet" ซึ่งจะใช้หน้าจอแบบ capacitive แทนที่ resistive ทำให้สามารถสัมผัสโดยการใช้นิ้วได้โดยตรงและสัมผัสพร้อมกันทีละหลายจุดได้ หรือ multi-touch ประกอบกับการใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU หลายๆคนคงจะรู้จักแท็บเล็ตตัวนี้กันเป็นอย่างดีนั้นก็คือ ไอแพด (iPad ) นั้นเอง


 
ภาพ HP Compaq tablet PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows
ที่มา  http://www.mindphp.com/
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


tablet แท็บแล็ต คืออะไรคอมพิวเตอร์พกพา น่าจอสัมผัส
ภาพ Apple iPad
ที่มา  http://www.mindphp.com/
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ประโยชน์ของการใช้ Tablet ในด้านการศึกษากัน ความสามารถมากมาย เมื่อใช้ Tablet แทนตำราเรียน ช่วยบันทึกข้อมูลการเรียน การสอนได้หลายรูปแบบ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สาย หรือใช้แทนสื่อการเรียนการสอน

 
 ภาพแสดงการใช้ Tablet ในการเรียนการสอ
ที่มา  http://www.learners.in.th/blogs/posts/524470
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 

ขอขอบคุณ   http://www.learners.in.th/blogs/posts/524470
                               http://www.mindphp.com/
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556

Social media


Social media

คำว่า “Social” หมายถึง สังคม ซึ่งในที่นี้จะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซึ่งมีขนาดใหม่มากในปัจจุบัน
คำว่า “Media” หมายถึง สื่อ ซึ่งก็คือ เนื้อหา เรื่องราว บทความ วีดีโอ เพลง รูปภาพ เป็นต้น
ดังนั้นคำว่า Social Media จึงหมายถึง สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต พูดง่ายๆ ก็คือเว็บไซต์ที่บุคคลบนโลกนี้สามารถมีปฏิสัมพันธ์โ้ต้ตอบกันได้นั่นเอง
พื้นฐานการเกิด Social Media ก็มาจากความต้องการของมนุษย์หรือคนเราที่ต้องการติดต่อสื่อสารหรือมี ปฏิสัมพันธ์กัน จากเดิมเรามีเว็บในยุค 1.0 ซึ่งก็คือเว็บที่แสดงเนื้อหาอย่างเดียว บุคคลแต่ละคนไม่สามารถติดต่อหรือโต้ตอบกันได้ แต่เมื่อเทคโนโลยีเว็บพัฒนาเข้าสู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์ที่เรียกว่า web application ซึ่งก็คือเว็บไซต์มีแอพลิเคชันหรือโปรแกรมต่างๆ ที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้งานมากขึ้น ผู้ใช้งานแต่ละคนสามารถโต้ตอบกันได้ผ่านหน้าเว็บ


 
ภาพแสดงตัวอย่างการใช้ social midia ในการเรียนการสอน
http://kruaun.wordpress.com/mystory/work/acadamicserve/
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556

 เครืองมือของสื่ออสังคมเพื่อนำ  ไปใช้ ในการจัดการเรียนรู้   ดังนี
 - Wordpress.co เป็นเว็บบล็อกหรือบล็อกสร้างเปนบล็อกกลางสำาหรับแลกเปลียนเรียนรู้และเป็นสื่อกลางในการแจ้งข่าวสาร 
- Facebook.com  ทำหน้าทีเป็นกระดานข่าว คล้ายๆ กับ hi5 ครและนักเรียนสามารถสื่อสารและแลกเปลียนข้อมลได้  เช่นกั 
 - Twitter.com ใช้ในการสือสารข้อความสันๆ ไม่เกิน 140ตัวอักษร ทำาหน้าทีคล้าย SMS สามารถโต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็  
- Slideshare.net ใช้ในการแบ่งบันสไลด์ ในกรีทีคุณครสร้างสไลด์เป็นสือในการจัดการเรียนการสอน สามารถนำไปฝากไว้แล้วให้นักเรียนไปดาวน์โหลดมาชมหลังจากเรียนเสร็จแล้วก็ ได้ 
- Flickr.com ใช้ ในการแบ่งปันไฟล์ภาพ 
- Scribd.com ใช้ในการแบ่งปันไฟล์เอกสาร เช่น ใบความรู้  ใบงาน แบบฝึก
 - youtube.com ใช้ ในการแบ่งปันไฟล์วีดีทัศน์ คุณครสามารถเลือกใช้เครืองมือเหล่านีได้ตามความเหมาะสมหรือถ้าคุณครใช้เครืองมืออืนๆ เป็นก็อาจจะใช้ร่วมได้ เช่น ผู้เขียน


 
ตัวอย่างภาพการใช้ social media ในการอบรมหรือถ่ายทอดความรู้
ที่มา http://mfu.mengrai.ac.th/home/
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556


ขอขอบคุณ http://www.scribd.com/doc/ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Video conference


Video conference 
     Video conference เรียกอีกอย่างว่า การประชุมทางไกล คือ การนำเทคโนโลยีสาขาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ กล้องโทรทัศน์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสานกัน เป็นการประชุมที่ผู้เข้าร่วมประชุมอยู่กันคนละสถานที่ ไม่จำกัดระยะทาง สามารถประชุมร่วมกันและมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ การส่งข้อความและภาพสามารถส่งได้ทั้งทางสายโทรศัพท์คลื่นไมโครเวฟ สายไฟเบอร์ออฟติกของระบบเครือข่าย และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม โดยการบีบอัดภาพเสียง และข้อความ กราฟิกต่าง ๆ ไปยังสถานที่ประชุมต่าง ๆ ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเห็นภาพและข้อความต่าง ๆ เพื่ออภิปรายร่วมกันได้เพื่อสนับสนุนในการประชุมให้มีประสิทธิภาพ วิธีการใช้งานก็แค่ เพียงแต่จัดสถานที่ในพื้นที่ที่ต้องการ  เตรียมอุปกรณ์สำหรับการสื่อสาร และแสดงภาพ เมื่อระบบเริ่มทำงาน ผู้เรียนในสถานที่ต่าง ๆ จะเรียนไปพร้อม ๆ กัน และสามารถสอบถามหรือโต้ตอบกันโดยใช้ระบบสื่อสารที่มี จะเห็นได้ว่าประหยัดและได้ประโยชน์อย่างยิ่งเป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถได้อย่างกว้างขวาง และครอบคลุม
 
 
ภาพแสดง Video conference เรียกอีกอย่างว่า การประชุมทางไกล
 ที่มา http://wirongroang.blogspot.com/2012/07/video-conference_23.html
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

 ส่วนในด้านการศึกษา Video conference นับเป็นนวัตกรรมของศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งผิดแปลกแตกต่างจากการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบเดิม ๆ ที่ผ่านมา แต่นี่คือการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่ทำให้สถาบันการศึกษา มีทางเลือกมากยิ่งขึ้นที่จะจัดการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายบนมาตรฐานและคุณภาพที่กำหนดไว้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมีหลากหลายด้าน
  
 ด้านผู้เรียน ไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่สถานศึกษา ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทาง ประหยัดเวลาในการเดินทาง ลดภาระค่าเช่าหอพัก เป็นการพัฒนาตัวเองในเรื่องเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
           
        ด้านผู้สอน ไม่ต้องเดินทางไปสอนตามสถานที่ต่าง ๆ และยังสามารถพัฒนาตนเองด้วยการเรียนรู้รูปแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ โดยสื่อเทคโนโลยีผ่านระบบ Video conference ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ ร่วมกับวิทยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง  นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอดการจัดการเรียนรู้ในเวลาปกติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
           
        ด้านผู้บริหารสถานศึกษา มีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ประหยัดงบประมาณ ประหยัดทรัพยากร  และมีคุณภาพ

 แต่อย่างไรแล้ว การใช้เทคโนโลยี Video conference ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง อาทิเช่น มีค่าใช้จ่ายสูง  ต้องใช้ประจำที่ ใช้เฉพาะหน่วยที่มี Video conference  เท่านั้น  มีรูปแบบการบริหารจัดการประชุมไม่หลากหลายมากนัก ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์พิเศษของ Video Conference  กรณีเกิดปัญหามีการบำรุงรักษายาก และมีราคาแพง 
 
ขอขอบคุณ  http://wirongroang.blogspot.com/2012/07/video-conference_23.html
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

  


Webquest


Webquest

   Web Quest คือกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงรู้ โดยมีฐานสารสนเทศที่ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย บนแหล่งต่างๆบนอินเทอร์เน็ต และอาจเสริมด้วยระบบการประชุมทางไกล โดยมีเป้าหมายที่จะนำแหล่งความรู้ที่หลากหลายบนเครือข่าย World Wide Web มาใช้เป็นฐานในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนแสวงรู้จากแหล่งความรู้ที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ Web Quest ได้รับการออกแบบที่จะใช้เวลาของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการใช้สารสนเทศมากกว่าการแสวงหาสารสนเทศ

 ภาพแสดงตัวอย่างบทเรียน Webquest
ที่มา http://adisa-sawaddee.blogspot.com/2012/11/webquest.html
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556
การนำบทเรียนออนไลน์แบบ WebQuest ช่วยในการเรียนการสอน จะช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เนื่องจาก บทเรียนออนไลน์แบบWebQuesสนับสนุนให้ผู้เรียนได้เข้าถึงเนื้อหา ข้อมูลความรู้อย่างกว้างขวาง ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือก ซึมซับ เนื้อหาข้อมูลนั้นๆ ให้เหมาะกับตน ทั้งยังฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดในขั้นสูง ในระดับการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนประเมินค่า อีกทั้งปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนจะเป็นไปในเชิงบวก เนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกอย่างเต็มที่ทั้งด้านความคิดและ ความสามารถ ผนวกกับการออกแบบรูปแบบบทเรียนออนไลน์ที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทบาทของ ตนเองได้ชัดเจน นำไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสม  สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้กระบวนการเรียนการสอน เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขโดยแท้จริง

ขอขอบคุณ  http://www.gotoknow.org/posts/135279  วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

e-Book


e-Book

  “อีบุ๊ค” (e-book, e-Book, eBook, EBook,) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสาร อิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์
        คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่างๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป

 ภาพแสดงตัวอย่าง e-book
ที่มา http://cheeskizz.exteen.com/20110815/e-book
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

 วิธีการประยุกต์ใช้ E-book ในการเรียนรู้
 1. ผู้ใช้สามารถอ่านหนังสือได้ในทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการเรียนรู้
      e-book หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นอีกหนึ่งในความสามารถของเครื่อง Palm ที่จะสามารถทำให้คุณเก็บบันทึกเอกสาร Text File ลงใน Palm ให้อยู่ในรูปแบบ e-book โดยการอ่าน e-book นั้น จะต้องมี Software ที่เข้ามาสนับสนุนการอ่าน File ของ e-book เช่น TealDoc,CspotRun,SmartDoc (Quick word),isilo และอื่นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ของ e-book นั้น จะช่วยให้คุณนำเอกสารจากเครื่อง PC ของคุณติดตัวไปกับคุณได้ เช่น คู่มือเอกสารสำคัญต่างๆ ข้อมูลการเดินทาง เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน และอื่นๆ อีกมาก
 2. เป็นสื่อรูปแบบใหม่ที่ผู้สอนสามารถใช้ประกอบการสอน
      ผู้สอนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยกำหนดเป็นเอกสาร การสอนในรายวิชาต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนอ่านสะดวก เนื่องจากผู้เรียนสามารถอ่านได้พร้อมๆ กันหลายคน อ่านได้ทุกที่ที่มีการเชื่อมโยงอินเตอร์เน็ต ถ้าผู้เรียนมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ ก็สามารถดาวน์โหลดเก็บไว้ในเครื่องของตนเอง ทำให้ไม่สิ้นเปลืองกระดาษนอกจากนั้นผู้สอนยังสามารถตรวจสอบได้ว่ามีใครเข้า มาอ่านแล้วบ้าง จึงเท่ากับเป็นการ ติดตามประเมินผลผู้เรียนอีกทางหนึ่ง

ขอขอบคุณ http://cheeskizz.exteen.com/20110815/e-book
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 


Blog


Blog

Blog คืออะไร
       Blog เป็นคำรวมมาจากศัพท์คำว่า เว็บล็อก (WeBlog) สามารถอ่านได้ว่า We Blog หรือ Web Log ไม่ว่าจะอ่านได้อย่างไรทั้งสองคำนี้ก็บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่าคือบล็อก (Blog)
          คำว่า "บล็อก" สามารถใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์" 

  • ส่วนประกอบของ Blog
              บล็อกประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
    1. หัวข้อ (Title)
    2. เนื้อหา (Post หรือ Content)
    3. วันเวลาที่เขียน (Date/Time)
  • การใช้งานบล็อก
              ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์เหมือนการใช้งาน และอ่านเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
              ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อก ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้าน HTML หรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้ นอกจากนี้ระบบการจัดการบล็อกจะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตใน
  • หลายแบบให้เลือกใช้
    สำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไป และสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลง ทะเบียนในบางบล็อก นอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด (Feed) ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรงผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้อง เข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น
     
  •     คลังประโยชน์ของบล็อก
  • คลังความรู้ มีความรู้มากมายให้ค้นหา ให้อ่านตามความสนใจ
  • คลังมิตรภาพ เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์จนกลายเป็นมิตรภาพดีๆ
  • คลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และต่อยอดความรู้ออกไป
  • คลังแห่งความสุข เป็นที่ระบายความเครียด ช่วยผ่อนคลาย และเพิ่มความสุขในชีวิต
  • คลังข้อมูล ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสมาชิกที่สำคัญ ช่วยให้เจ้าของข้อมูลสามารถดึงดูดข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
  • คลังเพื่อการฝึกฝน เป็นแหล่งฝึกฝนระบบการคิด ทักษะการเขียน และความสามารถด้านถ่ายทอดข้อมูลความรู้ต่างๆ และยังเป็นแหล่งฝึกทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้อย่างดีอีกด้วย
  • คลัง KM ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีผู้เชียวชาญด้านการจัดการความรู้ (KM) มากมาย อีกทั้งสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (KM) ได้ง่ายเพียงแค่คลิก
  • คลังประชาสัมพันธ์และกิจกรรมงานบุญ เป็นแหล่งประชาสัมพันธ์กิจกรรมดีๆ เพื่อสร้างสรรค์สังคมมากมาย
  • คลังแห่งองค์กรต่างๆ บางองค์กรเลือกเว็บไซต์ GOtoKnow.org เป็นเครื่องมือเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
  • คลังเพื่อนช่วยเพื่อน เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งทางออนไลน์ จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน พบว่าเกิดกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ช่วยสอนวิธีการใช้งานบล็อก
  • คลังความรู้ฝังลึก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ที่มี่เป็นคลังความรู้ มีสารประโยชน์ต่างๆ มากมายให้เลือกอ่าน และที่สำคัญความรู้ส่วนใหญ่นั้นเป็นความรู้สึกฝังลึกที่ซ่อนอยู่ ในตัวคนทุกคนนั่นเอง ที่นี่จึงกลายเป๋นคลังความรู้ฝังลึกที่ใหญ่มาก และถ้าหากสามารถสกัดความรู้ฝังลึกเหล่านี้ให้กลายเป็นความรู้ชัดแจ้งได้ ที่มี่กลายเป็นคลังแก่นความรู้ได้ต่อไป
ภาพแสดง blog ให้ความรู้ต่างๆ ที่มา https://www.google.co.th/search?hl=th&q=blog
          

ขอขอบคุณ http://portal.in.th/blog-km/pages/13338/ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

e-Learning



e-learning
   การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ e-Learning เป็นการศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย (e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)


การนำ e-Learning ไปใช้ประกอบการเรียนการสอนสามารถทำได้ 3 ลักษณะ ดังนี้

    1. สื่อเสริม (supplementary) นอกจากเนื้อหาที่ปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว ผู้เรียนยังสามารถศึกษาเนื้อหาเดียวกันนี้ในลักษณะอื่น ๆ เช่น จากเอกสารประกอบการสอน เป็นต้น การใช้ e-Learning ในลักษณะนี้ผู้สอนเพียงต้องการให้ผู้เรียนมีทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับการเข้าถึงเนื้อหา
   2. สื่อเติม (complementary) ผู้สอนออกแบบเนื้อหาให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจาก e-Learning
    3. สื่อหลัก (comprehensive replacement) เป็นการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดออนไลน์



            องค์ประกอบของ e- learning ที่สำคัญมี 4 ส่วน คือ 
 
1.เนื้อหา (content) สำหรับการเรียน การศึกษาแล้วไม่ว่าจะเรียนอย่างไรก็ตามเนื้อหาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด e-Learning ก็เช่นกัน
   2.ระบบบริหารการเรียน หรือ LMS ซึ่งย่อมาจาก e-Learning Management System ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารและการกำหนดลำดับของเนื้อหาในบทเรียน แล้วนำส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังผู้เรียน ซึ่งรวมไปถึงขั้นตอนการประเมินผล ควบคุม และสนับสนุนการให้บริการทั้งหมดแก่ผู้เรียน ระบบบริหารการเรียนจะทำหน้าที่ตั้งแต่ผู้เรียนเริ่มเข้ามาเรียน โดยจัดเตรียมหลักสูตร บทเรียนทั้งหมดเอาไว้พร้อมที่จะให้ผู้เรียนได้เข้ามาเรียน เมื่อผู้เรียนได้เริ่มต้นบทเรียนแล้วระบบจะเริ่มทำงานโดยส่งบทเรียนตามคำขอของผู้เรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปแสดงที่ web browser ของผู้เรียน จากนั้นระบบก็จะติดตามและบันทึกความก้าวหน้า รวมทั้งสร้างรายงานกิจกรรมและผลการเรียนของผู้เรียนในทุกหน่วยการเรียนอย่างละเอียด จนกระทั่งจบหลักสูตร

    3.การติดต่อสื่อสาร มีเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ติดต่อสอบถาม ปรึกษาหารือ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างตัวผู้เรียนกับครู อาจารย์ผู้สอน และระหว่างผู้เรียนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นๆ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

· ประเภทช่วงเวลาเดียวกัน (synchronous) ได้แก่ chat

· ประเภทช่วงเวลาต่างกัน (asynchronous) ได้แก่ web-board, e-mail

  4.การสอบ/วัดผลการเรียน  โดยทั่วไปแล้วการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในระดับใด หรือเรียนวิธีใด ก็ย่อมต้องมีการสอบ/การวัดผลการเรียนเป็นส่วนหนึ่งอยู่เสมอ การสอบ/วัดผลการเรียนจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้การเรียนแบบ e-Learning เป็นการเรียนที่สมบูรณ์ บางวิชาจำเป็นต้องวัดระดับความรู้ก่อนสมัครเข้าเรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนในบทเรียน หลักสูตรที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด ซึ่งจะทำให้การเรียนที่จะเกิดขึ้นเป็นการเรียนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเข้าสู่บทเรียนในแต่ละหลักสูตรก็จะมีการสอบย่อยท้ายบท และการสอบใหญ่ก่อนที่จะจบหลักสูตร



เนื้อหาของ e-learning สามารถแบ่งเป็น 3 ลักษณะดังนี้

            1. ระดับเน้นข้อความออนไลน์ (text online)  เนื้อหาจะอยู่ในรูปของข้อความเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดีคือเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาและการ บริหารจัดการรายวิชาโดยผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาสามารถผลิตได้ด้วย ตนเอง

        2. ระดับรายวิชาออนไลน์เชิงโต้ตอบและประหยัด (low cost interactive online course) เนื้อหาจะอยู่ในรูปตัวอักษร ภาพ เสียง และวีดีทัศน์ ที่ผลิตขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ซึ่งควรมีการพัฒนา LMS ที่ดี เพื่อช่วยผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาในการสร้างและปรับเนื้อหาให้ทันสมัยได้ด้วยตนเอง

            3. ระดับรายวิชาออนไลน์คุณภาพสูง (high quality online course) เนื้อหาจะอยู่ในรูปของมัลติมีเดียที่มีลักษณะมืออาชีพ การผลิตต้องใช้ทีมงานในการผลิตที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา (content experts) ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบการสอน (instructional designers) และผู้เชี่ยวชาญการผลิตมัลติมีเดีย (multimedia experts) เนื้อหาในระดับนี้ต้องมีการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมเฉพาะสำหรับการผลิตและเรียกดู เช่น Macromedia Flash หรือ Flash Player เป็นต้น



            ข้อดีของ e-Learning

       1. e-Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น เพราะการถ่ายทอดเนื้อหาผ่านมัลติมีเดียที่ได้รับการออกแบบและผลิตอย่างมี ระบบจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียน จากสื่อข้อความเพียงอย่างเดียว

   2. e-Learning ช่วยให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา 
     3. e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้  โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลใดก่อนหรือหลังก็ได้ ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของตน ทำให้ได้รับความรู้และมีการจดจำที่ดีขึ้น

    4. e-Learning ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน และกับเพื่อน ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ มากมาย

       5. e-Learning เป็นการเรียนที่ผู้เรียนแต่ละคน จะได้รับเนื้อหาของบทเรียนเหมือนเดิมทุกครั้ง

        6. e-Learning ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ รวมทั้งเนื้อหามีความทันสมัย และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันได้อย่างทันที

     7. e-Learning ทำให้เกิดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนในวงกว้างขึ้น เป็นการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต



            ข้อที่ควรคำนึงถึงของ e-Learning

            1. ความสำคัญของ e-Learning อยู่ที่การออกแบบ  ดังนั้นแม้ว่าเนื้อหา วิธีการ ที่มีอยู่จะส่งผ่านระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างไรก็ตาม แต่ถ้ารูปแบบไม่น่าสนใจ ไม่สามารถดึงความสนใจของผู้เรียนไว้ได้ ก็ทำให้ผู้เรียนไม่อยากเรียน ก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการศึกษาหาความรู้ การนำ e-Learning ไปใช้ นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วยังทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายและเสียเวลาอีกด้วย

            2. การใช้ e-Learning ต้องมีการลงทุนในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่พร้อมด้วยอุปกรณ์มัลติมีเดีย และประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ต้องเข้ากันได้ดี และต้องคำนึงถึงการเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการติดต่อสื่อสารทั้งระหว่างผู้เรียน ผู้สอนอีกด้วย

            การเรียน การอบรมสัมมนาแบบ e-learning ออนไลน์ให้ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากกันและกัน และที่สำคัญอีกประการคือ ผู้สอนเองจะต้องมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบทันควันให้กับผู้เรียน เพื่อทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้ง และจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดการแสดงความคิดเห็น แต่อย่างไรก็ตามผู้เรียนจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง มีวินัยและมีการวางแผนระบบการเรียนให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของตนเอง จึงทำให้ e-learning เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

            กลุ่มฝึกอบรมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำนักพัฒนาศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากำลังคนของประเทศอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์และผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ ซึ่งหลักสูตรที่ได้ดำเนินการในปี 2547 มีดังนี้ เครื่องแก้วและอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ  สารเคมีและการจัดการสารเคมีในห้องปฏิบัติการ  และเทคนิคการเป็นหัวหน้างาน

 ภาพแสดง เครือข่ายการทำงานของ  e-learning









       ที่มา http://www.e-learning.dss.go.th/knowledge/files/5649newchoice.htm
          วันที่ 17 กุทภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ขอขอบคุณ  http://www.e-learning.dss.go.th/knowledge/files/5649newchoice.htm
วันที่ 17 กุทภาพันธ์ พ.ศ. 2556
 









วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

e-Mail


e-Mail
  
อีเมล (ชื่อย่อของ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์) เป็นวิธีที่รวดเร็วและสะดวกในการติดต่อกับผู้อื่น คุณสามารถใช้อีเมลในการ
  • ส่งและรับข้อความ คุณ สามารถส่งข้อความอีเมลไปให้บุคคลใดก็ได้ที่มีที่อยู่อีเมล ข้อความนั้นจะเข้าไปอยู่ในกล่องอีเมลขาเข้าของผู้รับภายในไม่กี่วินาทีหรือ ไม่กี่นาที ไม่ว่าเขาหรือเธอจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่หลังถัดไป หรือใครก็ตามที่อยู่ไกลถึงครึ่งค่อนโลก
    อีเมลเป็นการติดต่อแบบสองทาง คุณสามารถรับข้อความจากผู้ที่ทราบที่อยู่อีเมลของคุณ จากนั้นคุณก็อ่านแล้วตอบกลับข้อความเหล่านั้น
  • ส่งและรับแฟ้ม นอกจากข้อความแล้ว คุณยังสามารถส่งแฟ้มแทบทุกชนิดในข้อความอีเมล รวมทั้งเอกสาร รูปภาพ และเพลง แฟ้มที่ส่งมาในข้อความอีเมลเรียกว่า สิ่งที่แนบมา
  • ส่งข้อความไปยังกลุ่มบุคคล คุณสามารถส่งข้อความอีเมลไปให้ผู้รับหลายคนพร้อมกัน ในขณะที่ผู้รับสามารถตอบกลับไปยังกลุ่มทั้งกลุ่มได้ ซึ่งทำให้เกิดการอภิปรายกลุ่ม
  • ส่งต่อข้อความ เมื่อคุณได้รับข้อความอีเมล คุณสามารถส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความนั้นใหม่
ข้อดีอย่างหนึ่งของอีเมลเมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์ หรือจดหมายทั่วไปก็คือความสะดวกในการใช้งาน คุณสามารถส่งข้อความในเวลาใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ถ้าผู้รับไม่อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์และไม่ได้ ออนไลน์ (เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต) ในขณะที่คุณส่งข้อความ ผู้รับจะพบอีเมลรออยู่ในเวลาต่อมาที่เขาตรวจสอบอีเมล ในกรณีที่ผู้รับออนไลน์อยู่ คุณอาจได้รับการตอบกลับภายในไม่กี่นาที
นอกจากนี้ การใช้อีเมลยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ด้วย ซึ่งต่างกับการส่งจดหมายทั่วไป เพราะการส่งอีเมลไม่จำเป็นต้องมีแสตมป์หรือเสียค่าธรรมเนียม และไม่ต้องกังวลว่าผู้รับจะอยู่ที่ใด ค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวที่คุณต้องจ่ายคือค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต

ต้องมีสิ่งใดบ้างก่อนที่จะใช้อีเมลได้

เมื่อคุณต้องการใช้อีเมล คุณจำเป็นต้องมีสามสิ่งดังต่อไปนี้
  • การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เมื่อ คุณต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของคุณกับอินเทอร์เน็ต คุณต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider:ISP) ก่อน ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะคิดค่าธรรมเนียมเป็นรายเดือน นอกจากนี้คุณยังต้องมีโมเด็ม ด้วย โปรดดูที่ ฉันต้องมีสิ่งใดบ้างในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
  • โปรแกรมอีเมลหรือบริการบนเว็บ คุณสามารถใช้ Windows Mail ซึ่งเป็นโปรแกรมอีเมลที่มากับ Windows และยังสามารถใช้โปรแกรมอีเมลอื่นๆ ได้อีก ทันทีที่คุณติดตั้งโปรแกรมนั้นลงในคอมพิวเตอร์
    ถ้าคุณต้องการ คุณสามารถลงทะเบียนกับบริการอีเมลบนเว็บที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น Gmail, MSN Hotmail หรือ Yahoo! Mail บริการเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบอีเมลของคุณด้วย เว็บเบราว์เซอร์ จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ตามที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
  • ที่อยู่อีเมล คุณ สามารถรับที่อยู่อีเมลจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ (ISP) หรือจากบริการอีเมลบนเว็บเมื่อคุณลงทะเบียน ที่อยู่อีเมลประกอบด้วยชื่อผู้ใช้ (อาจเป็นชื่อเล่นที่คุณเลือกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อจริงเสมอไป) เครื่องหมาย @ และชื่อของ ISP หรือผู้ให้บริการอีเมลบนเว็บ ตัวอย่างเช่น someone@example.com

การตั้งค่า Windows Mail

เมื่อคุณมีที่อยู่อีเมลและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว คุณก็พร้อมที่จะส่งและรับอีเมล เมื่อต้องการใช้อีเมลใน Windows Mail คุณต้องตั้งค่า บัญชีผู้ใช้อีเมล ก่อนที่จะเพิ่มบัญชี คุณจำเป็นจะต้องได้รับข้อมูลบางอย่างจาก ISP ของคุณ ได้แก่ ที่อยู่อีเมล รหัสผ่าน ชื่อของเซิร์ฟเวอร์อีเมลขาเข้าและขาออกของคุณ และรายละเอียดอื่นๆ บางประการ โปรดดูที่ จะค้นหาข้อมูลบัญชีผู้ใช้อีเมลของคุณได้จากที่ใด

การเพิ่มบัญชีผู้ใช้อีเมลใน Windows Mail

  1. เปิด Windows Mail โดยการคลิกปุ่ม เริ่มรูปภาพของปุ่ม 'เริ่ม'คลิก โปรแกรมทั้งหมด แล้วคลิก Windows Mail
  2. บนเมนู เครื่องมือ คลิก บัญชีผู้ใช้
  3. คลิก เพิ่ม คลิก บัญชีอีเมล คลิก ถัดไป จากนั้นทำตามคำแนะนำ
ในระหว่างทำการติดตั้ง คุณจะได้รับการร้องขอให้เลือก ชื่อที่ใช้แสดง ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้รับจะเห็นเมื่อคุณส่งข้อความอีเมลไปให้

การอ่านข้อความอีเมล

Windows Mail จะตรวจสอบเพื่อดูว่าคุณได้รับอีเมลหรือไม่เมื่อคุณเริ่มโปรแกรมดังกล่าวและ ทุก 30 นาทีหลังจากนั้น (เมื่อต้องการเปลี่ยนช่วงเวลานี้ โปรดดูที่ การตรวจสอบอีเมลใหม่) อีเมลที่คุณได้รับจะปรากฏในกล่องขาเข้าของคุณ กล่องขาเข้าเป็นโฟลเดอร์หนึ่งในหลายๆ โฟลเดอร์ที่เก็บอีเมลไว้
เมื่อต้องการดูรายการอีเมลที่คุณได้รับ ให้คลิก กล่องขาเข้า ในรายการ โฟลเดอร์ ข้อความอีเมลของคุณจะปรากฏอยู่ในรายการข้อความ รายการนี้จะแสดงชื่อผู้ส่งอีเมล เรื่อง และเวลาที่ได้รับอีเมล
เมื่อต้องการอ่านข้อความ ให้คลิกที่ข้อความนั้นในรายการข้อความ เนื้อหาของข้อความจะปรากฏอยู่ด้านล่างรายการข้อความในบานหน้าต่าง 'แสดงตัวอย่าง' เมื่อต้องการอ่านข้อความในหน้าต่างแยกต่างหาก ให้คลิกสองครั้งที่ข้อความนั้นในรายการข้อความ
       รูปภาพของ Windows Mail ที่แสดงรายการโฟลเดอร์ รายการข้อความ และบานหน้าต่าง 'แสดงตัวอย่าง' 
ภาพแสดงขั้นตอนการอ่านอีเมลล์
ที่มา http://windows.microsoft.com/th-TH/windows-vista/Getting-started-with-e-mail   วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 

คลิกกล่องขาเข้าเพื่อดูข้อความอีเมลของคุณ
เมื่อต้องการตอบกลับข้อความ ให้คลิกปุ่ม ตอบกลับ เมื่อต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเขียนและส่งการตอบกลับ ให้ดูที่ "การสร้างและการส่งข้อความอีเมล" ในบทความนี้
โปรดดูเพิ่มเติมที่ การดูข้อความอีเมลใน Windows Mail

การสร้างและการส่งข้อความอีเมล

มื่อคุณต้องการสร้างข้อความอีเมลใหม่ใน Windows Mail ให้คลิกปุ่ม สร้างจดหมาย หน้าต่างข้อความใหม่จะเปิดขึ้นมา
รูปภาพของตัวอย่างข้อความอีเมล ภาพแสดงการสร้างข้อความอีเมลใหม่ใWindows Mail
ที่มา http://windows.microsoft.com/th-TH/windows-vista/Getting-started-with-e-mail   วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 


ข้อความอีเมลตัวอย่าง
ต่อไปนี้คือวิธีการใส่ข้อมูลลงในหน้าต่างข้อความของ Windows Mail และโปรแกรมอีเมลอื่น
  1. ในช่อง ถึง พิมพ์ที่อยู่อีเมลของผู้รับอย่างน้อยหนึ่งราย ในกรณีที่คุณกำลังจะส่งข้อความไปยังผู้รับหลายราย ให้พิมพ์เครื่องหมายอัฒภาค (;) คั่นระหว่างที่อยู่อีเมล
    ในช่อง สำเนาถึง คุณสามารถพิมพ์ที่อยู่อีเมลของผู้รับลำดับที่สอง ซึ่งก็คือบุคคลที่ควรทราบเกี่ยวกับข้อความอีเมลนั้น แต่ไม่จำเป็นต้องกระทำการใดๆ เกี่ยวกับอีเมลนั้น ผู้รับลำดับที่สองจะรับข้อความเดียวกับที่บุคคลในช่อง 'ถึง' ได้รับ ถ้าไม่มีผู้รับลำดับที่สอง ให้ปล่อยให้ช่องนั้นว่างไว้
  2. ในช่อง เรื่อง ให้พิมพ์ชื่อเรื่องสำหรับข้อความของคุณ
  3. ส่วนในพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ให้พิมพ์ข้อความของคุณ
    เมื่อต้องการแนบแฟ้มไปกับข้อความ ให้คลิกปุ่ม แนบแฟ้มกับข้อความรูปภาพของปุ่ม 'แนบแฟ้มกับข้อความ' บนแถบเครื่องมือ (อยู่ด้านล่างของแถบเมนู) ให้ค้นหาแฟ้มที่ต้องการจะแนบ เลือกแฟ้มนั้น แล้วคลิก เปิด ขณะนี้แฟ้มดังกล่าวจะปรากฏในช่อง แนบ ที่ส่วนหัวของข้อความ





รูปภาพของแฟ้มที่แนบไปกับข้อความอีเมล ภาพแสดงการแนบเอกสารไปกับข้อความ
ที่มา http://windows.microsoft.com/th-TH/windows-vista/Getting-started-with-e-mail   วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



แฟ้มที่แนบกับข้อความอีเมล
คุณทำเสร็จแล้ว! เมื่อต้องการส่งข้อความ ให้คลิกปุ่ม ส่ง จะมีการบีบอัดข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตไปยังผู้รับ

หมายเหตุ

  • เมื่อต้องการเปลี่ยนลักษณะ แบบอักษร ขนาด หรือสีของข้อความ ให้เลือกข้อความนั้น จากนั้นคลิกปุ่มใดปุ่มหนึ่งบนแถบการจัดรูปแบบ (อยู่ด้านบนของพื้นที่ข้อความ)
โปรดดูเพิ่มเติมที่ การเขียนข้อความอีเมล

แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอีเมล

การสื่อสารทางอีเมลมีแบบแผนของการปฏิบัติเช่นเดียว กับการสนทนาทางโทรศัพท์และการสื่อสารแบบเผชิญหน้า แบบแผนเหล่านี้เรียกว่าแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอีเมล หรือ แนวทางปฏิบัติทางอินเทอร์เน็ต ("netiquette" คือการรวมกันระหว่างคำว่า "Internet" และ "etiquette") เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ กรุณาปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้
  • โปรดระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องตลกและอารมณ์ อีเมล ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีนัก ดังนั้นผู้รับอีเมลอาจไม่เข้าใจสิ่งที่คุณตั้งใจจะบอก โดยเฉพาะเรื่องตลกเสียดสีต่างๆ จะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากผู้รับอาจแปลความหมายเรื่องนั้นตามตัวอักษรและทำให้เกิด ความขุ่นเคืองได้ เมื่อต้องการถ่ายทอดอารมณ์ ให้ลองใช้สัญรูปอารมณ์ (โปรดดู "การใช้สัญรูปอารมณ์" ในบทความนี้)
  • คิดก่อนที่คุณจะส่ง การเขียนและการส่งข้อความอีเมลเป็นเรื่องที่รวดเร็วและง่าย จนบางครั้งอาจง่ายเกินไป โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อความที่จะส่งเป็นสิ่งที่คุณได้คิดไว้ก่อนแล้ว และหลีกเลี่ยงการเขียนในขณะที่คุณกำลังโกรธ เพราะทันทีที่ส่งข้อความนั้นแล้ว คุณไม่สามารถเรียกกลับคืนได้
  • เขียนในบรรทัดเรื่องให้ชัดเจนและกระชับ โดยสรุปเนื้อหาของข้อความเป็นคำสั้นๆ สักสองสามคำ ผู้ที่ได้รับอีเมลจำนวนมากจะสามารถใช้ชื่อเรื่องนี้ในการจัดลำดับความสำคัญ ของข้อความ
  • พยายามเขียนข้อความสั้นๆ ถึงแม้ว่าพื้นที่ข้อความจะไม่จำกัดความยาวของเนื้อความ แต่ในความเป็นจริงอีเมลออกแบบมาเพื่อการสื่อสารที่รวดเร็ว คนส่วนใหญ่จะไม่มีเวลาหรือความอดทนเพียงพอที่จะอ่านข้อความมากกว่าสองหรือ สามย่อหน้า
  • หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรตัวใหญ่ทั้งหมด ด้วยเหตุที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าประโยคข้อความที่เขียนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ทั้งหมดเปรียบเสมือนการ "ตะโกน" และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่พอใจหรือรำคาญ
  • โปรดระมัดระวังข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลสำคัญ ในบางกรณี ผู้รับอาจส่งต่อข้อความของคุณไปให้บุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
นอกจากนี้ ในการสื่อสารที่เป็นทางการหรือการสื่อสารทางธุรกิจ ให้ระมัดระวังเรื่องตัวสะกดและข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ เพราะอีเมลที่ขาดความระมัดระวังอาจสื่อถึงภาพพจน์ของความไม่เป็นมืออาชีพ ดังนั้นควรอ่านตรวจทานข้อความของคุณก่อนที่จะส่ง และหากโปรแกรมอีเมลของคุณมีตัวตรวจสอบการสะกด ให้ใช้ตัวตรวจสอบนั้น โปรดดูที่ การตรวจสอบการสะกดข้อความใน Windows Mail

การใช้สัญรูปอารมณ์

เนื่องจากการถ่ายทอดอารมณ์ เจตนา หรือน้ำเสียงผ่านทางข้อความเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ยาก ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในระยะแรกๆ จึงได้คิดค้น สัญรูปอารมณ์ (emoticons คือการรวมคำว่า "emotion" เข้ากับ "icons") ขึ้นใช้ ซึ่งก็คือลำดับของอักขระบนแป้นพิมพ์ที่เป็นสัญลักษณ์ถ่ายทอดการแสดงออกของ สีหน้า ตัวอย่างเช่น :) จะคล้ายกับใบหน้าที่กำลังยิ้มเมื่อคุณมองทางด้านข้าง ด้านล่างนี้คือตัวอย่างสัญรูปอารมณ์
สัญรูปอารมณ์
ความหมาย
:) หรือ :-)

ยิ้ม มีความสุข หรือขำ
:( หรือ :-(

บึ้งหรือไม่มีความสุข
;-)

ขยิบตา
:-|

ไม่สนใจหรือไม่แน่ใจ
:-o

ประหลาดใจหรือเป็นห่วง
:-x

ไม่พูดอะไร
:-p

แลบลิ้น (มักเป็นการหยอกล้อ)
:-D

หัวเราะ

การจัดการกับอีเมลขยะ

เช่นเดียวกับที่คุณอาจเคยได้รับโฆษณาที่ไม่ได้ร้องขอ ใบปลิว และแค็ตตาล็อกทางจดหมายตามปกติ คุณก็อาจจะได้รับ อีเมลขยะ (มักเรียกว่า อีเมลที่ไม่พึงประสงค์) ในกล่องขาเข้าของคุณได้เช่นกัน อีเมลขยะรวมถึงการโฆษณา ข้อความหลอกลวง ภาพลามก หรือการเสนอสิทธิ์ต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากสำหรับผู้ทำการตลาด การส่งอีเมลขยะจะเสียค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะได้รับอีเมลประเภทนี้เป็นจำนวนมาก
Windows Mail ได้รวมตัวกรองอีเมลขยะซึ่งจะทำหน้าที่วิเคราะห์เนื้อหาของข้อความที่ส่งถึง คุณ และย้ายข้อความที่น่าสงสัยไปยังโฟลเดอร์พิเศษที่เก็บอีเมลขยะ เพื่อที่คุณจะสามารถดูหรือลบอีเมลเหล่านั้นออกเมื่อใดก็ได้ และหากข้อความของอีเมลขยะหลุดผ่านตัวกรองเข้าไปในกล่องขาเข้า คุณสามารถระบุให้ข้อความในอนาคตใดๆ ที่มาจากผู้ส่งรายนั้นต้องถูกย้ายไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บอีเมลขยะโดยอัตโนมัติ โปรดดูที่ การบล็อกอีเมลที่ไม่พึงประสงค์และอีเมลอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ
การป้องกันอีเมลขยะ
  • ใช้ความระมัดระวังในการให้ที่อยู่อีเมลของคุณ หลีกเลี่ยงการประกาศที่อยู่อีเมลที่แท้จริงของคุณใน กลุ่มข่าวสาร บนเว็บไซต์ หรือในพื้นที่สาธารณะของอินเทอร์เน็ต
  • ก่อนให้ที่อยู่อีเมลของคุณในเว็บไซต์ ให้ตรวจสอบคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลของไซต์นั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์นั้นไม่อนุญาตให้มีการเปิดเผยที่อยู่อีเมลของคุณ แก่บริษัทอื่น
  • อย่าตอบกลับข้อความอีเมลขยะ ผู้ส่งอีเมลขยะจะทราบว่า ที่อยู่อีเมลของคุณถูกต้อง และอาจขายที่อยู่นั้นไปให้บริษัทอื่น ซึ่งจะทำให้คุณมีโอกาสที่จะได้รับอีเมลขยะมากขึ้นเรื่อยๆ

    ขอขอบคุณแหล่งความรู้  http://windows.microsoft.com/th-TH/windows-vista/Getting-started-with-e-mail   วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556